เดิมพันฟุตบอลอย่างไรให้เสี่ยงน้อยที่สุด

ฟุตบอลคือกีฬายอดนิยมอันดับหนึ่งของมวลมนุษยชาติ แฟนฟุตบอลพันธุ์แท้มีความเคารพศรัทธาในสโมสรของพวกเขาไม่ต่างจากการนับถือศาสนาหรือความศรัทธาที่มีต่อผู้นำทางจิตวิญญาณเลย แน่นอนว่าความรักและความเชื่อเหล่านี้ดูหมิ่นกันไม่ได้ เมื่อมีความเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่างกลุ่มแฟนบอลทีมเดียวกันเองหรือแฟนฟุตบอลทีมตรงข้ามการเดิมพันเพื่อหาข้อสรุปจึงเกิดขึ้น การเดิมพันอยู่คู่วงการฟุตบอลตลอดมาแต่ในปัจจุบันการเดิมพันฟุตบอลไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในหมู่แฟนบอลด้วยกันเท่านั้น ความท้าทายใหม่คือการเอาชนะร้านรับพนัน ซึ่งการเอาชนะร้านรับพนันค่อนข้างยากพอสมควรแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยเพราะหากรู้จักการศึกษาข้อมูลเหล่านี้ใคร ๆ ก็มีสิทธิ์พิชิตเจ้ามือได้เช่นเดียวกัน

ความพร้อมของทีม ใครเจ็บ ติดโทษแบน นักเตะ 22 คนที่ลงสนามมีความพร้อมแค่ไหนทุกวันนี้หาข้อมูลได้ไม่ยากเลย ผู้เดิมพันต้องทราบข้อมูลเหล่านี้ก่อนจะตัดสินใจเพราะการขาดหายไปของผู้เล่นบางคนหรือความฟิตของนักเตะมีผลต่อการแข่งขันทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นทีมเล็กหรือทีมใหญ่ก็ตาม

สไตล์ฟุตบอล สไตล์ฟุตบอลเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้คร่าว ๆ ว่าผลการแข่งขันจะออกมาอย่างไรเช่นทีมเน้นเกมบุกต้องเจอกับทีมเล่นเกมบุกเหมือนกันสกอร์อาจจะสูงมากกว่า 3 ลูก แต่หากทีมบุกต้องเจอกับทีมเล่นรับเน้นผลอาจจะเอาชนะได้แค่ 1-2 ลูกอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งการเลือกอยู่ข้างทีมใดสไตล์ฟุตบอลของทีมนั้นต้องชัดเจน ไม่ควรเสี่ยงกับทีมที่ผจก.ทีมผีเข้าผีออกเปลี่ยนแผนการเล่นไปมาตลอดทั้งเกม

สถิติ สถิติคือหนึ่งในสิ่งบ่งชี้ที่ควรนำมาคำนวณร่วมด้วยเพราะว่าหลายครั้งสถิติเหล่านี้พิสูจน์ได้ว่าในโลกฟุตบอลประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกันได้บ่อย ๆ เลย อย่างเช่น ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์กับคริสตัน พาเลชห้าเกมหลังสุดที่พวกเขาพบกันจบลงที่ผลการแข่งขัน 1-0 ทุกครั้ง และทีมไก่เดือยทองทีมเดิมหากพบกับนิวคาสเซิ่ลก็มักจบที่สกอร์สูงเกิน 3 ลูกแทบทุกครั้งไปอย่างนี้เป็นต้น

ช่วงเวลา ช่วงเวลาก็มีความสำคัญต่อผลการแข่งขันเช่นช่วงต้นฤดูกาลนักฟุตบอลยังฟิตเต็มถัง แทบทุกทีมยังไม่มีปัญหานักเตะบาดเจ็บจึงเล่นเกมบุกใส่กันได้และอาจจะมีสกอร์แบบมโหฬาร ช่วงกลางฤดูกาลบางทีมอาจประสบปัญหาอาการบาดเจ็บของนักเตะทำให้ผลงานไม่ดีนัก ส่วนโค้งสุดท้ายของฤดูกาลไม่ว่าทีมใหญ่หรือทีมเล็กต่างก็เล่นแบบเน้นผลการแข่งขันสกอร์ก็อาจออกมาไม่สูงมาก เป็นต้น

อัตราต่อรอง นักวิเคราะห์ของร้านเดิมพันค่อนข้างกำหนดอัตราต่อรองได้อย่างแม่นยำ พวกเขาจึงไม่ค่อยเสียเปรียบผู้เล่น ดังนั้นถ้าเห็นอัตราต่อรองที่ผิดแปลกและมีความเป็นไปได้น้อยจึงไม่ควรเสี่ยงหรือเล่นสนุกแค่พอหอมปากหอมคอเท่านั้น แต่หากคู่ไหนอัตราต่อรองดูเป็นไปได้ ผู้เล่นมีความมั่นใจก็เลือกสนุกกันได้ตามสะดวก

อย่างไรก็ตามผู้เล่นควรพึงตระหนักถึงสัจธรรมที่แท้จริงของโลกลูกหนังว่าฟุตบอลเป็นเกมกีฬาที่พลิกความคาดหมายได้เสมอ แม้เราจะตระเตรียมข้อมูลไว้ดีขนาดไหนก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ การมีข้อมูลก็ช่วยให้เรามีความมั่นใจและเสี่ยงน้อยกว่าการเลือกข้างโดยไม่มีน้ำหนักใด ๆ เลย สิ่งสุดท้ายที่ผู้เล่นควรทราบคือหากไม่เป็นไปตามคาดก็ไม่ควรโทษตัวเองแต่จงสนุกไปกับเกมและยิ้มรับกับผลที่ออกมา เพราะไม่ว่าอย่างไรเราก็มีโอกาสแก้มือได้เสมอนั่นเอง

เบอร์เสื้อนั้นสำคัญไฉนในวงการกีฬา

คณิตศาสตร์ถือเป็นศาสตร์มหัศจรรย์ที่อยู่กับมนุษย์เราตั้งแต่ยุคเริ่มอารยธรรมจนถึงทุกวันนี้ ศาสตร์แห่งตัวเลขอยู่ในทุกสิ่งอย่างตั้งแต่เรื่องพื้นฐานอย่างการนับนิ้วไปจนถึงสูตรการคำนวนชั้นสูง หลายคนเชื่อว่าตัวเลขมีพลังในตัวของมันเองและหลายคนยึดถือว่าตัวเลขบางชุดคือ Lucky Number ที่ไม่อาจมีตัวเลขอื่น ๆ ทดแทนได้ ความเชื่อนี้แทรกอยู่ในทุกศาสนา ทุกสังคมไม่เว้นแม้แต่วงการกีฬาที่เชื่อกันว่าตัวเลขนั้นคือส่วนสำคัญไม่แพ้การฝึกซ้อมหรืออุปกรณ์กีฬาชั้นดีเลย

กีฬาประเภททีมมีความจำเป็นในการใช้ตัวเลขระบุบนยูนิฟอร์มเพราะจะทำให้ผู้ชมจำแนกได้ว่าใครเป็นใคร ชุดแข่งของทีมกีฬาชื่อดังในสมัยนี้บางทีมนิยมทำแบบย้อนยุคด้วยการนำชื่อนักกีฬาออกสกรีนลงไปแต่เบอร์เสื้อล้วน ๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะทีมที่มีแต่นักกีฬาชื่อดังผู้คนล้วนจดจำได้ดีอยู่แล้วแค่มองเห็นตัวเลขบนชุดแม้อยู่ไกล ๆ ผู้ชมก็ทราบได้ว่านักกีฬาคนนั้นเป็นใคร แถมส่วนใหญ่นักกีฬามักจะไม่สับเปลี่ยนหมุนเวียนหมายเลขด้วยทำให้จดจำได้ง่ายไม่เกิดความสับสน นักกีฬาจำนวนไม่น้อยใช้หมายเลขเดียวตั้งแต่ยังเป็นรุกกี้ไปจนถึงอำลาวงการเลย ในขณะที่บางคนฝืนใจใช้หมายเลขอื่นบ้างด้วยเหตุผลต่าง ๆ และกลายเป็นว่าหมายเลขที่ไม่ใช่นั้นทำให้พวกเขารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะพวกเขาเชื่อว่าตัวเลขประจำตัวสามารถนำพาโชคมาให้ยกตัวอย่างเช่นไมเคิล จอร์แดนยอดนักบาสเกตบอลระดับตำนานของชิคาโก้ บูลส์ หลายคนอาจไม่ทราบว่าเบอร์ 23 ที่เขาใช้มาตลอดไม่ใช่แค่หมายเลขที่ผูกพันมาตั้งแต่เป็นรุกกี้ เขายังมีความเชื่อว่าหมายเลข 23 คือตัวเลขแห่งโชคชะตาทั้งยังเป็นตัวเลขครึ่งหนึ่งของ 45 (22.5 ปัดเศษขึ้น) ซึ่งเป็นหมายเลขของแลร์รี่ จอร์แดนพี่ชายที่เคารพรักของเขา แม้ช่วงรีเทิร์นกลับมาช่วยบูลส์กู้วิกฤตไมเคิลจะต้องไปใช้เบอร์ 45 เหมือนพี่ชายเพราะหมายเลข 23 ที่เคยใช้ถูกรีไทร์ให้เป็นเกียรติแก่ตัวเขาเองไปแล้ว แต่พะยี่ห้อไมเคิล จอร์แดนอย่างไรก็ตามผลงานในเกมของเขาก็ไม่ด้อยลงกว่าเดิมสักเท่าไร ทว่าไมเคิล จอร์แดนกลับรู้สึกด้วยตัวเองว่าเขาไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไปนั่นไม่ใช่การเล่นในมาตรฐานของเขา แม้จะมีความเห็นแย้งว่าอาจจะเพราะช่วงวัยที่ทำให้ความรู้สึกต่างออกไปแต่ไมเคิลปฏิเสธเลยว่าเขารับรู้ถึงวัยที่ถดถอยของตัวเองดีและความรู้สึกผิดแปลกไม่ได้เกิดจากสภาพร่างกายแต่มันเกิดขึ้นกับจิตใจและความรู้สึกภายในต่างหาก นอกจากตัวเลขนำโชคแล้วในวงการกีฬายังมีตัวเลขอาถรรพ์ด้วยอาทิเช่น ฮิชาม เซรัวอาลี กองหน้าของสโมสรฟุตบอลอเบอร์ดีนในสก็อตแลนด์ที่แหวกแนวใช้เบอร์ 0 ลงสนาม ซึ่งต่อมาเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 2004 ทำให้หลายคนเชื่อว่าเลข 0 ที่หมายถึงความว่างเปล่านั้นนำพาโชคร้ายมาให้ฮิชามเป็นเหตุให้ต่อมาสโมสรอเบอร์ดีนยกเลิกหมายเลข 0 อย่างถาวร ในขณะเดียวกันหลาย ๆ สโมสรกีฬานอกจากหมายเลข 0 แล้วยังยกเลิกหรือห้ามใช้หมายเลข 13 ซึ่งเป็นหมายเลขแห่งความโชคร้ายกับหมายเลข 66 ที่เป็นตัวเลขของซาตานอีกด้วย

ความเชื่อเรื่องตัวเลขอยู่คู่กับเกมกีฬามาเสมอ และยังมีนักกีฬาชื่อดังอีกหลายคนที่ให้ความสำคัญกับหมายเลขของเขา บางคนถึงขั้นใส่เงื่อนไขในสัญญากับสโมสรเลยว่าพวกเขาต้องได้ใช้หมายเลขนั้น ๆ ลงสนามแต่เพียงผู้เดียว ตรงนี้เราก็ไม่อาจทราบได้ว่าลึก ๆ แล้วตัวเลขเหล่านั้นมีพลังงานบางอย่างแฝงอยู่จริงหรือไม่ แต่ในแง่ของความมั่นใจการที่นักกีฬาเหล่านั้นมีสิ่งยึดเหนี่ยว เติมเต็มพลังใจ ย่อมโชว์ฟอร์มในสนามออกมาได้ดีกว่าอย่างแน่นอน

นอนยาวก็ดีนะ เพราะผลวิจัยชี้นอนสั้นอาจชีวิตสั้นกว่าที่คิด

เรื่องของการนอนเป็นเรื่องที่สำคัญเสมอ เพราะเราทุกคนต่างรู้ดีว่าการนอน คือ การพักผ่อนที่ดีที่สุดแล้ว แต่ในชีวิตจริง ของคนยุคใหม่อย่างพวกเราทุกคน ที่อะไร ๆ ก็ออนไลน์กันหมด จึงทำให้การทำงานเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เจ้านายหรือลูกน้อง ต่างช่วยกันส่งไลน์ แชท หรือเมล์มาให้เราต้องตื่นต้องลุกขึ้นก่อนเวลาอันควร หรือ ทำให้เรานอนได้ไม่เต็มอิ่มเสมอ หลายคนบอกว่าการตื่นเช้าเป็นเรื่องที่ดี แถมยังมีรายงานทางการแพทย์ชี้ด้วยว่าการตื่นเช้าก็มีส่วนช่วยให้สุขภาพดีและมีความกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นในระหว่างวันด้วย แต่ล่าสุดแล้วก็มีงานวิจัยจากต่างประเทศออกมายืนยันว่า ไลฟ์สไตล์การนอนที่ไม่เพียงพอ หรือจะให้เฉพาะเจาะจงลงไปก็คือ การตื่นเช้าเกินไปกลับมีผลเสียต่อสุขภาพมากกว่า

นาฬิกาชีวิตเพี้ยน ร่างกายก็เพี้ยนตาม

อย่างที่ทราบว่าไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของพวกเรามักจะมีกิจวัตรที่ทำกันซ้ำ ๆ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกายและสมองเกิดการจดจำ สร้างระบบนาฬิกาชีวิตให้กับเรา และถ้าวันไหนเกิดเราใช้ชีวิตแตกต่างไปจากเดิม เช่น การตื่นนอนก่อนเวลาที่เคยตื่น ไม่ว่าจะเหตุผลจากเรื่องงาน หรือเรื่องอะไรก็ตาม นาฬิกาของชีวิตเราจะเกิดสับสน ทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานผิดเพี้ยนไปหมด ซึ่งนักวิจัยจากต่างประเทศในมีการศึกษาผลกระทบในเรื่องนี้ และ พบว่านี่คือ อาการที่อันตรายอย่างหนึ่ง พวกเขาเรียกอาการนี้ว่า “Societal Jet Lag” โดยที่การศึกษานี้เน้นย้ำไปที่เรื่องของการนอนและการตื่นนอน ผลการศึกษาระบุว่าถ้าเราตื่นนอน หรือถูกปลุกให้ตื่นทั้ง ๆ ที่ร่างกายและสมองยังไม่พร้อมที่จะตื่น จะทำให้นาฬิกาชีวิตเกิดอาการรวน ซึ่งอาจส่งผลลัพธ์ออกมาได้หลายอย่าง ตั้งแต่ อาการเหม่อลอย หลงลืม อ่อนเพลีย ท้องผูก หรือบางคนก็ขับถ่ายบ่อยขึ้นและไม่เป็นเวลา บางคนอาจจะไม่อยากอาหารรับประทานได้น้อย เพราะกินอะไรก็ไม่อร่อย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้เราทุกคนเกิดความบกพร่องบางประการในการใช้ชีวิตประจำวัน และถ้าเป็นในระยาวอาจทำให้ร่างกายอ่อนแอลง และป่วยง่ายติดเชื้อง่าย เพราะระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายตกลง

หาความพอดีให้กับตัวเองให้ได้

ในสถานการณ์จริงของโลกยุคนี้ หลายคนอาจจะเกิดคำถามว่าจะให้ทำทุกอย่างตามระบบเวลาปกติแบบคนสมัยก่อนก็คงจะยาก จะไปทำงานก็จำเป็นต้องตื่นเช้า เพราะไม่ออกเช้าก็รถติดจะไปทำงานสาย ถึงจะทำงานอยู่บ้าน แต่โลกออนไลน์ก็เป็นตัวบีบบังคับให้งานเกิดขึ้นตลอดเวลา บางครั้งช้าไปเป็นนาทีเท่านั้นก็อาจส่งผลกระทบกับจำนวนรายได้ของบริษัทมหาศาลทีเดียว แบบนี้จะปรับตัวอย่างไรดี สิ่งแรกก็คือ ให้เราเลียนแบบหรือวางแผนการใช้ชีวิตเหมือนนักพนันที่กำลังเล่นพนัน เช่นนักพนันที่เล่นในเว็บ VWIN คนที่เล่นพนันเหล่านี้จะมีเทคนิคในการวางเดิมพันแต่ละเกม เขาจะไม่วางทุ่มเงินหมดในครั้งเดียว แต่จะแบ่งงบออกมาแล้วทยอยเล่นและวางเดิมพัน หากเสียก็อยู่ในงบ หากได้ก็ไม่ทุ่มเงินเล่นตามเกมที่วางแผนไว้ การใช้ชีวิตและการพักผ่อนของเราเองก็เช่นกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องรอพักทีเดียว หรือนอนครั้งเดียวให้หลับไปเลย ลองใช้วิธีการหาช่วงเวลาพักสั้น ๆ บ่อย ๆ  ในระหว่างวัน แบบนี้แม้กลางคืนจะนอนน้อยหรือต้องตื่นเร็ว ร่างกายก็ยังพอปรับตัวได้ เพราะได้หยุดพักมาแล้วในระหว่างวันเป็นระยะ ซึ่งแบบนี้จะช่วยได้มากหากต้องตื่นเช้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องสุขภาพ

ฉะนั้นไม่ต้องนอนยาวก็ได้ แค่หาช่วงเวลาพักสั้น ๆ แต่บ่อย ๆ ก็ช่วยให้รู้สึกสดชื่นพร้อมลุยกับชีวิตได้เหมือนกัน ลองไปทำกันดู ก็ดีกับชีวิตยุคใหม่เหมือนกันนะ

ตกหลุมรัก “แชงกรีล่า (Shangri-La)” ดินแดนแห่งเทพนิยาย

ถ้าใครเป็นแฟนนิยายของ เจมส์ ฮิลตัน นักเขียนชาวอังกฤษ ก็คงจะคุ้นชื่อแชงกรีล่ามาบ้าง ซึ่งผู้เขียนได้ให้คำจำกัดความสถานที่แห่งนี้ว่า “สวรรค์บนดิน” จากนิยายเรื่อง The lost Horizon จนเมื่อปี 2002 ทางการจีนได้นำชื่อนี้ไปใช้กับเมืองจงเตี้ยน ประเทศจีน เพราะมีความสวยงามเหมือนกับสวรรค์บนดิน เปรียบได้กับแชงกรีล่าในนิยายและด้วยความงามเลื่องชื่อนี้ ทำให้เราอยากไปสัมผัสด้วยตาตัวเองสักครั้ง ทริป 7 วัน 6 คืน คุณหมิง – ลี่เจียง – แชงกรีล่า ในการตามล่าสวรรค์บนดินจึงได้เริ่มขึ้น

                เช้าวันแรกเราไปถึงสนามบินดอนเมืองเพื่อบินไปที่เมืองคุณหมิง ประเทศจีน การเดินทางของเราใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่า ๆ หลังจากลงเครื่อง ลมหนาวก็ปะทะใบหน้าของเราทันที เราต่อรถจากสนามบินไปที่สถานีรถไฟเพื่อที่จะเดินทางไปลี่เจียง รถไฟเป็นลักษณะตู้นอน เตียงมี 2 ชั้น ตู้นึงนอนได้ 4 คน เราได้นอนตู้กับคุณพ่อและลูกสาววัยกำลังน่ารัก ที่เจือยแจ้วตลอดทั้งคืน การเดินทางค่อนข้างยาวนาน รถไฟออก 3 ทุ่ม ไปถึงลี่เจียง 6 โมงเช้า เราต่อรถไปที่ old town ของลี่เจียงเพื่อหาของกินและเดินเล่นรอที่เข้าไปเชคอินที่พัก old town ของที่นี่มีทั้งบ้านเก่าที่เป็นของเดิมกับบ้านที่เป็นสร้างใหม่ปะปนกันไป แต่ต้องชื่นชมการรักษาความสะอาดของที่นี่ แทบจะไม่เห็นขยะเลย รอบ ๆ เมืองเก่ามีการปลูกดอกไม้สวยงามประดับไว้มากมาย และการดูแลดอกไม้ที่ก็ได้รับการดูแลอย่างดี

                หลังจากเราดื่มด่ำกับการชมเมืองเก่าของลี่เจียงแล้ว เราก็เดินทางไปยังสถานที่นึงที่เรียกได้ว่า สวยงามมากจริง ๆ นั่นคือ Blue moon valley เป็นบึงน้ำสีฟ้าสดใสขนาดใหญ่ และใกล้ ๆ กันมีน้ำตกไป่สุ่ยเหอ หลังจากชื่นชมความงามของน้ำตกเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาพกออกซิเจนกระป๋องขึ้นไปทดลองใช้ก่อนจะไปแชงกรีล่าจริง ๆ เรามุ่งหน้ากันไปยัง Jade dragon snow mountain ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 5 พันกว่าเมตร ออกซิเจนบนนั้นน้อยมาก และเนื่องจากช่วงเวลาที่เราไปเป็นช่วงหน้าฝน แทนที่จะได้เจอหิมะจึงได้เจอฝนแทน เมื่อขึ้นไปด้านบนยอดเขาจึงพบหมอกจำนวนมาก อากาศไม่ค่อยปลอดโปร่ง เราจึงอยู่บนนั้นไม่ได้นาน เพราะต้านทานความหนาวและฝนไม่ไหว หลังจากผจญพายุฝนแล้วก็ออกไปหาของทานที่เมืองเก่าเช่นเดิม แต่ที่ลี่เจียงจะมีเมืองเก่าอยู่ 2 เมือง อาหารส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย ที่พบเห็นมากที่สุดน่าจะเป็นอาหารจำพวก ซุป และเกี้ยว รสชาติอาหารจะค่อนข้างจืดและใช้น้ำมันในการปรุงอาหารเยอะซักหน่อย และเนื่องจากลี่เจียงเป็นเมืองที่ไม่ใช่เมืองหลวง คนที่นี่จึงใช้ภาษาถิ่นเป็นส่วนใหญ่ จะพบคนที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารน้อยมากจริง ๆ การสื่อสารของเราตอนอยู่ที่นั่นจึงค่อนข้างลำบากพอควร

                หลังจากดื่มด่ำกับธรรมชาติและเมืองเก่าที่ลี่เจียงแล้ว ก็ได้เวลามุ่งหน้าไปยังจุดหมายของเราจริง ๆ สักที เช้าวันรุ่งขึ้นเรานั่งรถบัสเพื่อไปที่เมืองจงเตี้ยนหรือแชงกรีล่า และด้วยความที่เป็นช่วงที่เราไปเป็นฤดูฝน วิวข้างทางจึงเป็นต้นไม้สีเขียวขจี ตลอดเส้นทาง ถือว่าแค่ได้เห็นข้างทางก็รู้สึกว่า มันสวยงามมากจริง ๆ เรามาถึงแชงกรีล่า หลังจากเก็บของเข้าที่พักก็ไปที่ วัดซงจ้านหลิน ซึ่งเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบทิเบต มีความสวยงามมาก รอบ ๆ วัดมีพื้นให้เยี่ยมชมและถ่ายรูป เราใช้เวลาอยู่ที่วัดจนหมดวันพอดี ก็ได้เวลาไปลองชิมอาหารของที่นี่ ที่แชงกรีล่า สิ่งที่ขึ้นชื่อมากที่สุดคือ เนื้อจามรี หลังจากลองชิมแล้วรู้สึกเหมือนเนื้อวัว และอีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือ หม่าล่า ไม่ว่าจะไปส่วนไหนของที่เราจะพบทุกอย่างที่ทำจากหม่าล่า หรือมีหม่าล่าผสม ซึ่งหม่าล่าของที่นี่จะค่อนข้างรสชาติจัด ถ้าคนที่กินเผ็ดไม่ได้ก็แนะนำให้ทดลองกินน้อย ๆ เท่านั้น การสำรวจของวันนี้จบลงไป เรารีบเข้านอนเพื่อที่เช้าวันรุ่งขึ้นจะไปยังที่หมายของเรา นั่นคือ Shika Snow Mountains และเหมือนเดิม สิ่งที่ขาดไม่ได้คือออกซิเจนกระป๋อง โชคดีของเราที่วันนี้อากาศค่อนข้างแจ่มใส เมื่อเราขึ้นกระเช้าไปถึงยอดเขา ก็พบความเขียวชะอุ่มในหน้าฝนของที่นี่ ลมที่พัดมาปะทะค่อนข้างแรงมาก ลองหลับตาแล้วสัมผัสกับลมและฟังเสียงลม ช่างเป็นอะไรที่ดีมากจริง ๆ ทิวเขาที่ทอดยาวแทบจะเสมอเมฆนี้ ความสวยงามที่พบเห็น ไม่สามารถบรรยายได้ ถ้าไม่เห็นด้วย เราดื่มด่ำกับบรรยากาศด้านบนหลายชั่วโมง ที่นี่ค่อนข้างสงบเงียบกว่าภูเขาที่แรก แต่ถึงแม้จะไม่ได้เห็นหิมะปกคลุมแบบที่ตั้งใจ แต่ว่าความเขียวของต้นไม้ในหน้าฝนก็นับว่าเป็นวิวที่สวยไม่แพ้กัน

                หากกำลังมองหาสถานที่ที่สวยงาม และท้าทาย ที่ แชงกรีล่า เป็น 1 ในตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว นอกจากจะอยู่ไม่ไกลจากไทยแล้ว ธรรมชาติและชุมชนของที่นั่นก็ยังคงความเรียบง่ายและสวยงาม อิ่มใจมากจริง ๆ กับทริปนี้ ทุกอย่างเกินความคาดฝันไว้ แล้วจะรู้ว่า ที่จีนมีธรรมชาติที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหนเลย และแชงกรีล่าก็เหมาะสมกับคำว่า “สวรรค์บนดิน” จริง ๆ

มาลองเป็นเพื่อนกับ “ความเหงา” กันดีไหม

ถ้าลองค้นหาคำว่า “เหงา” ใน Google เราคงจะพบเรื่องราวเกี่ยวกับความเหงามากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิธีแก้เหงา กิจกรรมทำยามเหงา หาเพื่อนคุยแก้เหงา ขึ้นมาเป็นร้อยเป็นพันหัวข้อ แม้แต่บทเพลงก็ยังมีการพูดถึงความเหงาอยู่มากมาย ดูเหมือนว่า ความเหงาจะเป็นสิ่งที่หลายคนไม่ต้องการเอาซะเลยจริง ๆ ความเหงามันน่ากลัวขนาดนั้นหรือเปล่า มีแต่คนที่ใช้คำเหงาเป็นข้ออ้าง เพื่อที่จะได้รู้สึกผิดน้อยลงเมื่อทำผิด

                เราลองมารู้จักกับความเหงากันดีกว่า ความเหงาเป็นความรู้สึก หน่วง ๆ อึน ๆ ไม่ได้สุขมาก ไม่ได้ทุกข์มาก แต่รู้สึกโดดเดี่ยว ซึ่งความโดดเดี่ยวนี้ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก บางคนมีคนล้อมหน้าล้อมหลังมากมาย แต่ยังรู้สึกเหงา แท้จริงแล้วความเหงาเกิดจาก การรู้สึกขาดความใส่ใจ ขาดที่พึ่ง จะเห็นคนไม่น้อยที่บ่นว่าเหงา แม้จะอยู่ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม หรือบางที ความเหงาเกิดขึ้นเมื่อคิดถึงใครสักคนหนึ่ง ที่เรารู้สึกว่า เราไม่ได้สามารถมีเขาอยู่ข้าง ๆ เราได้ มันเลยเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกเหงาที่สุด

ฟังดู ความเหงาก็ดูไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ แต่ทำไมถึงอยากให้เป็นเพื่อนกับมันละ

                ความเหงา ไม่ได้น่ากลัวหรอก แต่การใช้ความเหงามาเป็นข้ออ้างในการทำความผิดนี่น่ากลัว บางคนมีแฟนอยู่แล้วแต่อยู่ห่างไกลกัน หรือแฟนมีเวลาให้ก็ใช้คำว่าเหงามาเป็นข้ออ้างที่จะมีคนเพิ่มเข้ามา เพื่อเติมเต็มในส่วนที่บอกตัวเองว่าอยู่ไม่ได้แน่ ๆ หรือหลายคนที่ชีวิตไม่เคยโสดเลยเพราะไม่สามารถอยู่แบบคนเดียว ไม่มีแฟน ไม่มีคนไปไหนมาไหนด้วยไม่ได้ เลยเลือกที่จะคบกับใครก็ได้แต่ขอให้ตัวเองไม่ว่างเท่านั้น สุดท้ายมานั่งเสียใจเองว่า คบกับใครก็คบได้ไม่นาน เพราะไม่ได้ศึกษากันดี ๆ และหวั่นไหวง่ายเพราะการกลัวความเหงานั้นเอง

                หากเราลองมามองความเหงาดี ๆ ช่วงที่ความเหงาเข้ามาเป็นช่วงที่เรามีเวลาอยู่กับตัวเองมากที่สุด มีเวลาได้รู้ความคิดของตัวเอง ได้ฟังเสียงของตัวเอง เป็นช่วงเวลาได้ทบทวนตัวเอง บางทีช่วงชีวิตของคนเราอาจจะต้องการช่วงเวลาที่ได้คิด ไตร่ตรอง เพื่อปรับปรุงและพัฒนาตัวเองก็ได้ ลองปล่อยให้ตัวเองได้เหงาดูบ้าง ถ้าหากเราอยู่กับมันได้ ใจของเราก็จะแข็งแรงขึ้น และสามารถตั้งรับกับเรื่องราวต่าง ๆ ได้

                ความเหงา เป็นเพียงโหมดหนึ่งของความรู้สึกคนเราเพียงเท่านั้น วิธีแก้อยู่ที่ใจของเราเอง ไม่มีใครสามารถทำให้เราหายเหงาได้อย่างแท้จริง หากเราไม่แก้ด้วยตัวเราเอง เพราะวันใดก็ตามที่เราหาใครสักคนมาแค่เพื่อแก้เหงา วันนึงถ้าเขาหายไป เราก็ต้องหาคนใหม่ ๆ มาแก้เหงาของเราอีกอยู่ดี จะดีกว่าไหม ถ้าเราอยู่กับมันได้ด้วยตัวเราเอง

                ลองเป็นเพื่อนกับความเหงาดูสิ แล้วจะรู้ว่า “ความเหงา” น่ารักกว่าที่คิดนะ

ความฝันในวัยเด็ก กับความฝันตอนเป็นผู้ใหญ่ ยังเป็นฝันเดียวกันอยู่หรือเปล่า?

“ความฝันเป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นอิสระ ไร้กรอบและขอบเขต” นี่คือคำจำกัดความความฝันในวัยเด็กของหลาย ๆ คน ไม่มีกฎเกณฑ์ หรือข้อบังคับ เราสามารถจะเป็นอะไร หรือฝันอะไรก็ได้ที่เราอยากจะเป็น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลยที่เราอาจจะไม่ได้มีแค่ ความฝันเดียว ความฝันของเราเหมือนทุ่งกว้างใหญ่ที่เราจะสามารถปลูกต้นแห่งความฝันกี่ต้นก็ได้ แต่ว่า ยิ่งเราโตขึ้น ความฝันของเราก็ถูกจำกัดให้แคปลง ด้วยสิ่งแวดล้อม ค่านิยม หรือข้อจำกัดต่าง ๆ มากมาย จนบางคนแทบจะไม่เหลือความฝันเลยด้วยซ้ำ

                ถ้าให้ลองถามความฝันของเด็ก ๆ กับผู้ใหญ่ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ เด็ก ๆ จะสามารถตอบความฝันของพวกเขาได้ทันที ในขณะที่ผู้ใหญ่จะต้องใช้เวลาคิด หรือถามถึงข้อแม้ต่าง ๆ เสียก่อนจึงจะสามารถตอบได้ ผู้ใหญ่หลายคนเลือกที่จะละทิ้งความฝันแล้วหันไปทำในสิ่งที่ข้อจำกัด สิ่งแวดล้อม ค่านิยมต่าง ๆ ผลักดันให้ไป หลายครั้งจึงเห็นผู้คนทำงานได้ไม่นานนัก ก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและท้อใจ เพราะสิ่งที่เลือกไม่ใช่สิ่งที่ฝันหรือสิ่งที่รัก หรือหลายคนที่ทำงานไปวัน ๆ แบบไม่รู้เป้าหมายในชีวิตของตัวเอง ไม่รู้จะไปต่อ หรือต่อยอดยังไง รู้สึกเคว้งคว้าง ไร้จุดหมาย สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เกิดจากที่เราถูกลิดรอนความฝัน จะจากตัวเราเองหรือจากคนอื่น ล้วนแต่เป็นตัวบั่นทอนความภูมิใจในตัวเองทั้งนั้น

                แต่ถ้าหากเรากล้าที่จะยืนหยัด ต่อสู้เพื่อความฝันของตัวเราเอง กล้าที่จะออกนอกกรอบหรือออกจาก safe zone ปัญหาหลักของคนในยุคนี้ คือการที่เราไม่กล้าเสี่ยงที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ หรือสิ่งที่แตกต่าง เพราะกลัว กลัวจะผิดพลาด กลัวขัดต่อแนวทางของสังคม เพราะถ้าหากเรายังเป็นเด็กทำผิดพลาดก็เป็นเรื่องเล็ก และคนยังพร้อมที่จะให้อภัยและมองข้ามเราไปได้ แต่เมื่อเราโตขึ้นทุกความผิดพลาดของเรามักจะมีคนคอยซ้ำเติมอยู่เสมอ และหลายคนมีภาระ หน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบต่าง ๆ จึงอาจจะไม่สามารถเอาคนอื่นมาเสี่ยงด้วยได้

เพราะปัญหาชีวิตและข้อจำกัดของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน หลายคนจึงไม่สามารถเลือกที่จะทำตามความฝันของตัวเองได้ แต่อย่างไรก็ตาม อย่าลืมความฝันของตัวเอง ถึงแม้วันนี้เรายังไม่อาจจะสามารถทำมันได้ เราอาจไม่ต้องหักดิบเพื่อเปลี่ยนไปทำตามใจตัวเองทันที แค่เริ่มทำวันละเล็กละน้อย ให้หัวใจได้พอชุ่มชื่นบ้าง เพราะชีวิตคนเราหากไม่มีสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกรักและภูมิใจในตัวเองเลย ชีวิตจะมีความสุขได้อย่างไร

หากเราไม่ทอดทิ้งความฝันของตัวเอง ความฝันก็จะไม่ทอดทิ้งเราเช่นกัน ใช้ชีวิตด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความฝัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราจะมีแรงฮึดสู้ต่อไป ชีวิตของเราจะรู้สึกมีคุณค่ามีความหมายมากกว่าที่เคย ไม่ว่าความฝันในวัยเด็กของเราคือคืออะไร มันสามารถเป็นจริงได้เสมอ ถ้าเรากล้าพอ

หนุ่มสาวยุคใหม่รักการออกกำลังกาย หรือรักการใช้ชีวิตแบบมีไลฟ์สไตล์

ถ้ามองไปทางไหนตอนนี้ คงจะเห็นเมนูอาหารเพื่อสุขภาพมากมายที่วางขายตามท้องตลาด ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ร้านค้าออนไลน์ อ้างสรรพคุณ Healthy ดีต่อสุขภาพ ไขมันน้อย ใช้วัตถุดิบออร์แกนิคเต็มไปหมด หรือการโพสรูปอาหารคลีนชวนเชื่อพร้อมแนบค่าแคลอรีประกอบ ซึ่งภาพบางภาพก็เป็นภาพที่มาจากใน internet อีกทีด้วยซ้ำ หลายคนสนใจถ่ายรูปอัพรูปลงโซเชียลแสดงถึงความรักสุขภาพของตัวเอง แต่ความจริงแล้วจะมีสักกี่คนกันแน่ที่ทำเพราะรักสุขภาพจริง ๆ

                มีคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่เอาใจใส่ดูแลตัวเองอย่างจริงจัง เพื่อหวังให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ทำเป็นเหมือนแฟชั่นตามเทรนด์ การถ่ายรูปอาหารคลีนหรือการแสดงตัวว่ากินคลีนเพื่อใช้ในโลกโซเชียลให้มีไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจ หรือจะเป็นการลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนรูปแบบใหม่ในแง่ของการควบคุมอาหาร ผู้ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายจะใช้โซเชียลของตนเองโพสถึงความเปลี่ยนไปของร่างกายหลังใช้สูตรหรือคอร์สที่ตัวเองจะขาย ซึ่งบางทีก็ไม่เป็นไปตามความจริง ใช้อาศัยเทคนิคทางการถ่ายภาพเพื่อให้ดูผอมกว่าเดิมเท่านั้น

                ในการออกกำลังกายคนจำนวนไม่น้อยจะคิดถึงเสื้อผ้าหรือชุดที่จะใส่เป็นอันดับแรกก่อน คิดถึงความสวยงามเป็นหลัก และการออกกำลังกายเป็นเรื่องรอง หลายคนไปถ่ายรูปที่ฟิตเนส โพสลงโซเชียล ออกกำลังกายเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็กลับ เพราะได้ภาพคนรักสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ดี ๆ ที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในปัจจุบันมีคนลักษณะนี้เยอะมากจริง ๆ

                ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่จะมองภาพลักษณ์และไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตมากกว่าการมองเรื่องสุขภาพอย่างแท้จริง ยิ่งประกอบกับโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ที่มีให้เสพมากมาย ก่อให้เกิดการพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานและการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นปัญหาที่หนุ่มสาวออฟฟิศพบเจอ และจะตามมาด้วยปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสายตาจากการมองหน้าจอมือถือ โรคกระเพาะ กรดไหลย้อน จากการทานอาหารไม่ตรงเวลา โรคออฟฟิศซินโดรมที่เกิดจากปัญหาการนั่งทำงานนาน ๆ และไม่ได้ออกกำลังกาย

                หากทุกคนเอาใจใส่เรื่องการทานอาหารที่มีประโยชน์ อาจจะไม่ต้องถึงขนาดกินคลีนก็ได้ เพียงทานอาหารที่สะอาดถูกสุขอนามัยให้ครบ 5 หมู่ 3 มื้อ หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำและสม่ำเสมอ มองเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริง เริ่มจากการรู้จักรักตัวเองก่อน ในวันที่เราป่วย วันนั้นเองจะรู้ว่าสุขภาพนั้นสำคัญมากแค่ไหน บางทีต่อให้มีเงินมากพอ ก็ไม่อาจจะซื้อสุขภาพของเราได้ แล้วเราจะเห็นความสำคัญของการดูแลตัวเองที่ไม่ใช่การสร้างภาพมีไลฟ์สไตล์ที่ดีเพื่อให้คนอื่นมองเห็น แต่เป็นการทำเพราะรักตัวเองจริง ๆ

                ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เริ่มจากใจของเราก่อนเท่านั้น สุขภาพที่ดีจะส่งผลต่อสุขภาพจิตที่ดี และเมื่อเราสุขภาพกายและใจดี ก็จะส่งผลให้เรามีชีวิตที่ดี ไลฟ์สไตล์ที่ยอดเยี่ยมอาจจะไม่ได้เป็นแค่เปลือกที่เราแสดงอีกต่อไป

โซเชียลมีเดีย (Social Media) มิตรแท้ หรือ มิตรเทียม

ในขณะที่ยุคสมัยนี้ถูกขับเคลื่อนไปด้วยโลกของไซเบอร์ คนเราก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ มันน่าตกใจทุกครั้งที่เห็นเพื่อนของเราในชีวิตจริงกับโซเชียลแตกต่างกันสิ้นเชิง บางคนชีวิตจริงดูเรียบร้อยไม่กล้าแสดงออก แต่ในโซเชียลกลับกลายเป็นคนละคน กล้าพูด กล้าคิด กล้าทำ เพราะทุกอย่างอยู่แค่ปลายนิ้วมือเท่านั้น

                นับวันโซเชียลมีความหลากหลายมากขึ้นและมีทางเลือกให้กับผู้ใช้งานมากขึ้น หากมองให้ลึกแล้วจุดประสงค์หลักของโซเชียล คือการให้ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้สะดวกสบาย การสร้างสังคมใหม่ ๆ เพื่อให้สามารถติดต่อ สื่อสารกับคนที่เราไม่รู้จักได้ง่ายยิ่งขึ้น เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่วางอยู่บนพื้นที่ส่วนรวม ให้เราได้แสดงความคิดเห็นหรือ ชีวิตประจำวันของเรา ในช่วงแรก ผู้คนก็ยังใช้ตรงตามวัตถุประสงค์อยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป โซเชียลกลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนแสดงความเห็นกันเกินขีดจำกัด จนหลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์ Cyberbullying การใช้ถ้อยคำด่าทอ เสียดสี ใส่ร้ายผู้อื่น หรือการแสดงความเห็นแบบสุดโต่ง ส่งผลในแง่ลบต่อผู้อื่น จนรุนแรงถึงขั้นมีคนทำร้ายตัวเองจากเหตุการณ์นี้ จะเห็นว่าสิ่งเล็ก ๆ ที่เราพิมพ์ลงไปแบบไม่ยั้งคิด พอรวมกันมาก ๆ กลายเป็นสิ่งที่คอยทำร้ายผู้อื่น

                แต่ว่าถ้าพูดถึงประโยชน์ของโซเชียลก็มีอยู่ไม่น้อย นอกจากจะเป็นพื้นที่ให้เราสามารถติดต่อสื่อสารกันอย่างสะดวกสบายแล้ว ปัจจุบันยังเป็นพื้นที่ในการประกอบอาชีพ การโปรโมทสินค้า การสร้างเทรนด์ การนำเสนอแบรนด์ หรือการค้นคว้าหาข้อมูลต่าง ๆ ก็สะดวกรวดเร็วขึ้น เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนของนักเรียนและนักศึกษา ข่าวสารต่าง ๆ ก็รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นก็เป็นข้อดี ถ้าหากข้อมูลของข่าวนั้นเป็นความจริงทั้งหมด เกิดเหตุการณ์เข้าใจผิดบ่อยครั้งเพราะการแพร่กระจายข่าวที่ไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้องให้ดีซะก่อน และผู้คนอยากจะแชร์เรื่องราวให้เร็วที่สุด จนบางทีไปก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวและสร้างความเสียหายให้กับบุคคลอื่น และที่สำคัญการพิมพ์หรือโพสข้อความใดในโลกโซเชียลโดยอารมณ์ ขาดความยับยั้งชั่งใจ สิ่งเหล่านี้มันจะอยู่กับเราไปอีกนาน และอาจจะส่งผลต่อตัวเราเองในอนาคต

                โลกโซเชียลก็เหมือนดาบสองคม หากรู้จักใช้ด้านที่ดี ใช้ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาล เราอาจจะได้เพื่อนใหม่ ความรู้ใหม่ หรืออาชีพใหม่ ๆ จากโลกโซเชียลนี้ และก็เช่นกัน หากเรามือไวใจเร็ว คล้อยไปตามสังคม เป็นคนที่อยากแสดงความเห็นตลอดเวลา และพยายามจะเป็นคนดีด้วยการด่าคนอื่น ถือว่าเป็นการใช้ที่ผิดวัตถุประสงค์ของโซเชียลแล้ว สังคมจะน่าอยู่ไม่ใช่เพียงแค่สร้างสังคมในชีวิตจริงเท่านั้น โลกโซเชียลก็ถือได้ว่าเป็นสังคมที่ 2 ของผู้คนในปัจจุบัน หากเราอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง หรือพื้นที่เหมาะสม ไม่กล่าวร้ายใคร โซเชียลมีเดียก็ถือว่าเป็น “มิตรแท้” ของเราได้ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตาม ที่เราเริ่มว่าร้ายคนอื่น สิ่งเหล่านี้จะตามมาเป็นลูกโซ่ แล้วจะเกิดการว่ากันไปว่ากันมาไม่มีที่สิ้นสุด แล้ววันนั้น มิตรแท้อาจจะกลายเป็นมิตรเทียมของเราไปก็ได้

ในวันที่ “ความสุข” ดูยากจนเกินไป

โลก 2019 คือโลกแห่งการต่อสู้และแข่งขัน คนเราต่อสู้เพื่อโอกาส หน้าที่การงานที่ดี เพื่อหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะนำมาถึงทรัพย์สินเงินทอง และทรัพย์สินเงินทองจะพาพวกเค้าไปสู่ชีวิตที่ดี ชีวิตที่มีความสุข คนส่วนใหญ่จึงหน้าดำคร่ำเครียดกับการทำงาน บางคนก็อุทิศให้งาน ทุ่มเทเวลาเกือบทั้งชีวิต แต่สิ่งที่ได้มากลับว่างเปล่า ทำงานหนักขนาดนี้ มีเงินเยอะขนาดนี้ ทำไมถึงยังไม่มีความสุขแบบที่หวังไว้ซักที

                ความสุขของคุณคืออะไร เมื่อเราถามคำถามนี้ไป คงได้คำตอบที่หลากหลาย หลายคนบอกมีเงินทองมากมาย อยากซื้ออะไรได้ตามใจชอบ เพราะทุกวันนี้แทบไม่มีอะไรที่เงินซื้อไม่ได้ แม้แต่เวลาเงินก็ซื้อได้ บางคนบอก การมีครอบครัวที่ดีมีคู่ชีวิตมีลูกที่น่ารัก คือความสุขในบั้นปลายชีวิต แต่ก็ไม่มีอะไรรับรองได้ว่า แต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว ชีวิตจะตัดจบ Happy Ending เหมือนในละคร เพราะชีวิตจริงยังมีต่อ ยังมีสิ่งที่ต้องฝ่าฟันไปอีก หรือบางคนบอกการได้ทำตามฝัน ได้เที่ยวรอบโลก แต่ก็มีคนที่เที่ยวรอบโลกมากมาย ที่เหมือนค้นหาอะไรบางอย่างจนอิ่มตัว แล้วสุดท้ายกลับพบว่า ความสุขมันยังไม่ถูกเติมจนเต็ม

มันเพราะอะไรกันล่ะ ในเมื่อเราลงทุนทั้งเวลา สุขภาพ เงิน ไปกับหลายอย่างแล้ว แต่เรากลับยังไม่รู้สึกมีความสุข

                เพราะเราทำให้มันยากเกินไปรึเปล่า บางคนบอกถ้ามีเงิน 10 ล้าน คงจะมีความสุขมาก แต่พอทำได้จริง กลับไม่รู้สึก เพราะคุณจะอยากได้ 100 ล้าน 1,000 ล้าน มากขึ้นไป บางคนมีครอบครัวที่ดี ได้แต่งงานมีลูกแล้วแต่ยังไม่มีความสุข เพราะอยากเห็นลูกประสบความสำเร็จ ลูกต้องเก่ง ต้องดีกว่าคนอื่น และบางคนเมื่อพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้แล้ว กลับรู้สึกว่า เขามันเตี้ยไป อยากพิชิตเขาที่มันสูงกว่านี้ ความอยากของเราไม่มีที่สิ้นสุด และเรามักจะตั้งความสุขไว้อยู่สูงเสมอ เราต้องมีสิ่งต่าง ๆ มากกว่าที่เป็นอยู่สิ เราไม่ยอมให้ตัวเองมีความสุขสักที แล้วเมื่อไหร่ล่ะ เมื่อไหร่เราจะมีความสุขอย่างแท้จริง

                ถ้าเราลองลดวงแหวนของความสุขลง มีความสุขกับเรื่องง่าย ๆ อย่าตึงเครียดมากจนเกินไปนัก หลายคนไม่ยอมให้ตัวเองมีความสุข ตั้งข้อแม้ให้ตัวเอง ถ้ายังไปไม่ถึงจุดหมายก็จะไม่ยอมให้ตัวเองมีความสุข ลองชื่นชมตัวเองในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ยิ้มให้กับคนรอบข้างบ้าง ใช้ชีวิตแบบรู้ตัวเอง หยุดการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วมานั่งคร่ำครวญ เราควรมีชีวิตในแบบของตัวเอง และแน่นอนความสุขของแต่คนไม่เหมือนกัน ถ้าวันนี้เราเต็มที่แล้ว มันก็คือดีที่สุดแล้ว และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง รักตัวเองที่ไม่ใช่การเห็นแก่ตัว ความสุขเป็นเรื่องใกล้ตัว เพียงแค่เราจะมองเห็นมันหรือเปล่าเท่านั้นเอง

ถ้าเรามองไปในกระจก เราจะเห็นคน ๆ นึงที่มีคุณค่า

“ความสุข” ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป เพียงแค่เราเปิดใจให้กับมัน

เป็นโสดแล้ว “ชีวิตดี” มีจริงมั้ย?

ในสังคมปัจจุบันที่ข่าวคราวการนอกใจมีทุกหย่อมหญ้า ใครไม่ถูกนอกใจหรือไม่คบซ้อนเหมือนไม่ตามแฟชั่นไปซะแล้ว รักสามเศร้าอาจจะเชยไปแล้วสำหรับสมัยนี้ รักสี่เศร้ากำลังมาแรง และแน่นอนที่สุด หลายคนมองเห็นปัญหานี้ การตามหาความรักก็ยังหวั่นใจ คนยุคใหม่ไม่น้อยเลยเลือกอยู่คนเดียวไม่มีคู่ไปเลยเสียจะดีกว่า แถมตอนนี้เราจะได้พบเจอกับTrip ท่องเที่ยว Backpack คนเดียว หรือร้านอาหารที่มีที่นั่งสำหรับคนที่มาทานอาหารคนเดียว โลกเริ่มเพิ่มพื้นที่ตอบสนองคนโสดมากขึ้น แต่ก็ยังมีคนสงสัยว่า

“โสดแล้วดีจริงหรือเปล่า ไม่เหงาบ้างหรอ”

                กิจกรรมของคนโสดมีมากมาย ง่ายสุด คือนอนดู Series อยู่ห้อง หรือถ้าเบื่อห้องหน่อยก็จะออกไป Shopping นั่งร้านกาแฟ หรือไปหากิจกรรมทำ เช่น ออกกำลังกาย เล่นกีฬา แน่นอนคนโสดไม่ได้หมายความว่าไม่มีเพื่อน แต่ถึงแม้จะต้องไปคนเดียว ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่เลย คนโสดส่วนใหญ่มักจะมีความชอบทำอะไรรวดเร็วและชอบทำอะไรคนเดียว ไม่ชอบการรอคอย เพราะฉะนั้นการจะนัดเพื่อนมาดูหนังสักเรื่องแล้วต้องแลกกับการรอ พวกเค้าเลือกที่จะดูหนังคนเดียวสบายใจกว่า หรือแม้แต่การนัดออกไปเที่ยว กว่าเพื่อนจะว่างตรงกัน สู้ไปเองเลยดีกว่า สามารถทำอะไรได้ตามใจตัวเอง ไม่ต้องรอความเห็นจากใคร คนโสดจึงถือว่าเป็นคนที่มีชีวิตอิสระไม่น้อยเลยทีเดียว

                แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนโสดไม่เหงา มีบ้าง เวลาดูหนังรักซึ้ง ๆ หรือเห็นคนจูงมือเดินกัน เห็นความหวานของคนมีคู่ แต่ว่าแต่ละคนก็จะมีวิธีจัดการกับความเหงาของตัวเอง หาอะไรทำจนบางทีกลายเป็นคนที่ดูเหมือนยุ่งตลอดเวลา เป็นโสดสบายกายและสบายใจ แต่จะไม่รู้สึกชุ่มชื้นหัวใจเหมือนคนมีคู่ ไม่ได้มีเรื่องให้รู้สึกหวือหวาในชีวิต และก็ไม่ได้มีเรื่องให้ใจพองโต แลกกับการที่ไม่ต้องเสี่ยงกับความเสียใจที่อาจจะต้องเจอ ไม่ต้องฝากความรู้สึกไว้กับใคร

ถ้าได้เจอความรักที่ดีหรือคนที่เรารักมากจริง ๆ เชื่อว่าคนโสดหลายคนก็คงจะยอมลงจากคานซักที แต่ถ้าหากยังไม่เจอคนที่ใช่ การเป็นโสดก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี ที่ไม่ต้องปล่อยให้ตัวเองไปลองหรือเสี่ยงคบกับใคร แล้วโดนทำร้ายความรู้สึก หลายคนอยู่คนเดียวไม่ได้ ไม่อยากโสด มีแฟนไว้เพื่อกันคำว่าโสดออกจากตัวเองเท่านั้น สุดท้ายจบไม่สวยมานั่งเสียใจ เสียความรู้สึก และเสียเวลา ความโสดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่เราจะได้อยู่กับตัวเอง ได้ฟังเสียงและความต้องการของตัวเองจริง ๆ  และเป็นช่วงรักษาหัวใจของเราให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง สิ่งสำคัญที่สุด การที่เราจะรักคนอื่นได้ เราต้องรู้จักรักตัวเราเองก่อน ให้คนรักเป็นสิ่งพิเศษที่เป็นรางวัลของชีวิตเรา ถ้ามีถือว่าเป็นของขวัญของชีวิต แต่ถ้าไม่มีเราก็อยู่ได้แบบสบาย ๆ การเป็นโสดไม่ใช่เรื่องน่าอาย เป็นโสดก็ “ชีวิตดี” ได้เหมือนกัน