ถ้า “ทางเดิน” ของชีวิต เป็นเหมือนการเลือก “สายรถเมล์”

ในวันเหงา ๆ เศร้า ๆ รู้สึกหมดหวังกับชีวิต สิ่งที่หลายคนเลือกทำคืออะไร บางคนคงอาจจะไปดูหนัง นั่งชิลร้านกาแฟ หรือไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ แต่สถานการณ์ที่มันค่อนข้างแย่และหนักหน่วง การไปแค่นั้นมันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่ การได้อยู่กับตัวเอง มองดูผู้คน นั่นคือสิ่งที่ทำให้รู้สึกเข้าใจชีวิตและคิดอะไรได้มากกว่า สถานที่ที่เราชอบไปเวลาไม่สบายใจคือ ป้ายรถเมล์

วันที่ถูกเชิญออกจากงาน ความรู้สึกตอนนั้นมันไม่ได้เสียใจ ร้องไห้แม้แต่นิดเดียว แน่ละเรารู้อยู่แล้ว ปัญหามันมีมานานแล้ว ต่อให้ไม่เชิญออกก็ตั้งใจจะลาออกอยู่ดี เพียงแต่คราวนี้มันเร็วเกินคาด เกินกว่าที่เราจะตั้งรับทัน เราทำเหมือนปกติทุกอย่าง ไม่ได้บอกใครในออฟฟิศนอกจากเพื่อนสนิทที่สุดในนั้น ครอบครัวยิ่งแล้วใหญ่เราไม่มีทางบอกเรื่องนี้แน่ ๆ จะบอกได้ยังไงคนที่เป็นความหวังของครอบครัวแบบเราทุกคนคงใจสลายน่าดู

 มีเวลาแค่ 3 เดือน ในการหาที่ทำงานใหม่ มันน่าเศร้ามั้ยล่ะ จากคนที่เคยเป็นคนเลือกงาน ปฏิเสธที่อื่นเพื่อมาทำที่นี่ แต่วันนี้กลับโดนเชิญออก ช่างเป็นสีสันของชีวิตเสียจริง ๆ หัวสมองตอนนั้นมันไม่มีเวลาให้ตัดพ้อมากนักหรอก เพราะมันต้องคิด ต้องทำแฟ้มผลงานเพื่อยื่นไปสมัครงานเป็นสิบ ๆ ที่ บางที่ก็ไปสัมภาษณ์เพื่อให้เค้าดูถูกดูแคลน มีแต่ความเจ็บช้ำเสียใจกลับมา สถานการณ์ในตอนนั้น มันแทบไม่มีกำลังใจในชีวิตซะเลย จะฆ่าตัวตายหรอ? ไม่หรอกมันง่ายเกินไป ชีวิตเราเจอแต่แต่เรื่องยาก ๆ มาทั้งชีวิต เราเชื่อว่ามันผ่านไปได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราจะผ่านมันไปยังไงเท่านั้นเอง

วันเวลาก็ล่วงเลยเข้าเดือนที่ 3 เราตั้งใจทำแฟ้มผลงาน และส่งไปสมัครงานอีกหลายที่และได้งานในที่สุด แต่ว่ารถเมล์มีหลายสายฉันท์ใด ชีวิตคนเราก็มีทางเลือกหลายทางฉันท์นั้น ในบ่ายวันสุดท้ายของเดือน เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น พร้อมกับเสียงปลายสายที่ขอเรียกสัมภาษณ์งาน ตอนนั้นทั้งสับสนและดีใจจนบอกไม่ถูก เราตกลงทันทีทั้ง ๆ ที่เราได้งานแล้ว เราขอไปสัมภาษณ์งานเย็นวันนั้นตอน 1 ทุ่ม

อย่างกับในหนัง ต้องฝ่ารถติด ฝ่าผู้คน เพื่อไปสัมภาษณ์งานในเย็นหลังเลิกงานของการทำงานวันสุดท้ายของออฟฟิศ เราไปทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย มีแค่สภาพหัวฟู ๆ หน้ามันเยิ้มไปเท่านั้น การสัมภาษณ์ผ่านไปด้วยดี จนถึงตอนท้ายเมื่อเราตัดสินใจบอกความจริงว่า จริง ๆ เราได้งานแล้ว ตอนนั้นมันถึงทางเลือกแล้วล่ะ ก่อนหน้านี้เราเคยเจอทางเลือกแบบนี้มาก่อน เราตกลงทำงานกับที่ที่เราถูกเชิญออกแล้ว หลังจากนั้นไม่กี่วัน ที่ที่เราอยากไปก็โทรมา แต่ด้วยอะไรก็แล้วแต่ เราเกรงใจมากเพราะเรารับปากไปแล้ว เราไม่มีความกล้าพอที่จะกลับไปยกเลิก มาคราวนี้ เราลองชั่งใจดูว่าชอบที่ไหนมากกว่ากัน และใจเราก็บอก ว่าเราชอบที่นี่มากกว่า เราเลยขอเลือกตามใจของเราบ้าง ในที่สุดเราก็ตกลงทำงานกับที่ที่สองและโทรไปยกเลิกทำงานกับที่แรก

หลังจากวันนั้น เรากลับมานั่งเฝ้ามองผู้คนที่ป้ายรถเมล์อีกครั้ง ป้ายรถเมล์ ที่เป็นศูนย์รวมของคนหลากหลายอาชีพ หลากหลายวัย เราอาจจะได้เห็นคุณยายขายน้ำที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้ทั้งวันจะไม่มีคนซื้อ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถามทางด้วยความมึนงง หรือคุณลุงคุณป้าที่หอบหิ้วสัมภาระล้นมือเพื่อที่จะไปที่ไหนสักแห่ง ผู้คนเหล่านี้ทำให้เรามองเห็นโลกที่กว้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นใคร ทุกคนต่างมีสิ่งที่ต้องทำ มีปัญหาที่ต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นคนพิการ ขอทาน พวกเขาแย่กว่าเรามากแต่เขาก็ยังอยู่ต่อ ต่อสู้กับปัญหาที่พวกเขามี การได้เห็นภาพเหล่านี้ทำให้เรามีกำลังใจในการที่จะเดินต่อไป เพราะชีวิตมีไว้ใช้ แต่ว่ามันก็มีหลายทางให้เลือกเหมือนกับป้ายรถเมล์ ถ้าเราดีหน่อยที่รู้ว่าปลายทาง จุดหมายของเราคืออะไร การเลือกเส้นทางที่จะเดินหรือสายรถเมล์ที่จะไปมันคงไม่ยาก แต่ถ้าไม่รู้ก็ต้องเสี่ยงหน่อย เราอาจจะขึ้นรถเมล์ผิดสาย แต่มันไม่ใช่ผิดพลาดแล้วแก้ไขไม่ได้ เราสามารถลงเพื่อรอสายต่อไป แล้วคุณล่ะ คุณเลือกสายรถเมล์ของคุณหรือยัง ?

เคยมีคนที่เรา “จำ” ได้ว่าเรา “ลืม” เค้าไปแล้วรึเปล่า?

หัวสมองของคนเรา น่าจะเป็นสิ่งที่ซับซ้อนที่สุดแล้ว แต่จิตใจของคนเรานั้นกลับซับซ้อนยิ่งกว่า เคยไหมกับการที่หลอกคนอื่น และเคยไหมกับการหลอกตัวเอง หลายคนคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเคยหลอกตัวเองตอนไหนจนกระทั่งได้เจอต้นตอของเรื่องราวที่เราพยายามโกหกใจตัวเองนั่นแหละ หรือน่าเศร้ายิ่งกว่า คือบางคนไม่รู้เลย

                ถ้าใครเคยมีความรัก ก็คงจะพอเคยชิมรสชาติของการอกหักมาบ้าง คงไม่มีใครที่ไม่เคยผิดหวังเสียใจกับเรื่องนี้ ความสัมพันธ์ที่ไปต่อกันไม่ได้ พยายามก้าวไปข้างหน้าเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึง สุดท้าย การแยกกันเดินจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสุด บางคนได้ออกไปเดินในเส้นทางใหม่ ๆ ผู้คนใหม่ ๆ แต่บางคนก็ยังคงวนเวียนอยู่ในเส้นทางเก่า ๆ ผู้คนเก่า ๆ และความรู้เก่า ๆ

                การหาสังคมใหม่ ๆ มักจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ผิดหวังในความรัก ได้ออกไปทำความรู้จักเพื่อนใหม่ สถานที่ใหม่ ทำให้เราสามารถ “ลืม” เรื่องราวที่ทำให้ผิดหวังเสียใจได้ในชั่วขณะ แต่เราลืมได้จริง ๆ หรือเปล่า พอผ่านสถานการณ์นั้นไป กลับห้องยังคิดถึงเขาอยู่ไหม เห็นคนอื่นไปเที่ยวด้วยกัน เดินจูงมือกัน ภาพเก่า ๆ ยังคงกลับมาบ้างรึเปล่า เราพยายามบอกตัวเอง แล้วหาอะไรทำ เพื่อให้สมองไม่มีที่ว่างให้นึกถึงเรื่องที่เจ็บปวด แต่ความจริงแล้ว ความเจ็บปวดมันไม่ได้อยู่ที่หัวสมอง แต่มันอยู่ที่ใจของเราต่างหาก

แต่เราไม่สามารถหลอกใจของเราได้หรอก ถ้าวันหนึ่ง วันที่บังเอิญไปเจอเขาคนนั้น เราจะสามารถรู้ได้เลยว่าจริง ๆ แล้วความรู้สึกของเรามันยังคงอยู่ แต่แค่ถูกจัดสรรให้อยู่ถูกที่ถูกทาง อยู่ในที่ที่เราจะไม่ทำเจ็บปวดไปมากกว่าเดิม หลายคนคิดว่าตัวเองดีขึ้นแล้ว แต่พอไปเจอคนคนนั้นจริง ๆ ความรู้สึกถาโถมเข้ามาใส่ จนตั้งตัวไม่ทัน เพราะพวกเขาหลอกตัวเองว่า “ลืม” ได้แล้ว คนที่โชคดีหน่อย ก็อาจจะได้รับการเยียวยาจากคนที่ทำให้เสียใจ ส่วนคนที่กลับไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ก็ต้องเยียวยาตัวเอง ลองอยู่กับความเจ็บปวดบ้าง ลองอยู่กับมัน ยอมรับมัน เข้าใจมัน ดีกว่าการวิ่งหนีความรู้สึกตัวเอง จนเราไม่สามารถรักใครใหม่ได้อย่างแท้จริง เรื่องแย่ ๆ บางทีก็เป็นบทเรียนสอนใจ เตือนให้เราจำไว้ จะได้ไม่พาตัวเองไปเป็นแบบเดิมอีก

สุดท้าย สำหรับใครก็ตามที่ยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่มีความสุขอย่างแท้จริง ยังรู้สึกมีอะไรติดค้างในใจ หรือไม่สามารถสบตาคนเก่า ๆ อย่างบริสุทธิ์ใจได้ ลองถามตัวเองดี ๆ ว่าจริง ๆ แล้ว เราลืมเค้าได้หรือยัง เราอาจจะสามารถแกล้งเบลอเหตุการณ์ในอดีตได้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ หรือแม้กระทั่งทำเหมือนว่าเราไม่ได้รู้สึกอะไรกับคน ๆ นั้นแล้ว แต่ตัวเราจะรู้ดีที่สุดเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ทดสอบใจ บางทีเราอาจจะเพิ่งรู้ตัวว่า จำได้ว่า “ลืม” เค้าไปแล้ว แต่ทำไมพอเจอหน้ากลับยังเจ็บปวดอยู่ ลืมได้แล้ว หรือแกล้งลืม

คุณรู้จัก “แฟนคลับ” ดีแค่ไหน ?

เมื่อได้ยินคำว่า “แฟนคลับ” หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกติดปากว่า “ติ่ง” หลายคนอาจจะนึกถึงภาพคนกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังกรีดร้อง ส่งเสียงเชียร์ให้กับศิลปินชื่อดังที่พวกเขาทั้งหลายชื่นชอบ หรือภาพบุคคลบนบิลบอร์ดขนาดยักษ์ตามสถานีรถไฟฟ้า ห้างใจกลางเมือง พร้อมกับข้อความ Happy Birth Day โดยที่บางคนคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้าเป็นใคร และหลายครั้ง คุณไม่เข้าใจการที่พวกเค้าไปนั่งรอหลายชั่วโมงเพื่อเจอศิลปินเพียงเวลาไม่กี่นาที

แต่ถ้าจริง ๆ แล้ว แฟนคลับมีสิ่งที่ต้องทำ และมีความหมายกับศิลปินมากกว่าที่คุณเห็นละ?

                เมื่อก่อน แฟนคลับ(ติ่ง) จะเป็นกลุ่มคนที่ชื่นชอบศิลปิน K- Pop เป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันนี้ กลุ่มแฟนคลับศิลปินในประเทศไทยเริ่มมีมากขึ้น เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เริ่มเข้ามามีบทบาทต่อวงการบันเทิงและสื่อมากขึ้น เห็นได้จากตามหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ สื่อออนไลน์ หรือทีวี ที่มีการลงข่าวถึงพลังของแฟนคลับกลุ่มต่าง ๆ และที่สำคัญพลังของแฟนคลับนี่แหละ ที่ผลักดันให้ศิลปินก้าวไปอยู่ในจุดที่สูงกว่าเดิม

                สิ่งที่แฟนคลับต้องทำ ไม่ใช่แค่การกรี๊ดไปวัน ๆ แน่นอน แฟนคลับที่ดีส่วนใหญ่จะพยายามสนับสนุนศิลปินที่ตนเองชื่นชอบในทุก ๆ ทาง เริ่มตั้งแต่การสนับสนุนผลงานที่ถูกลิขสิทธิ์ ไปเชียร์ศิลปินตามงาน Event ต่าง ๆ นอกจากจะเป็นการให้กำลังใจศิลปินแล้ว ยังทำให้ผู้ว่าจ้างได้เห็นถึงศักยภาพของศิลปินและแฟนคลับที่จะสามารถนำไปสานต่อ อาจจะเป็นในด้านของการจ้างงานครั้งต่อไปหรือไปถึงขั้นการได้เป็น Presenter ของสินค้าหรือองค์กรนั้น ๆ

นอกการสนับสนุนด้านผลงานแล้ว คนรอบตัวของศิลปิน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ญาติพี่น้อง หรือเพื่อน ก็จะได้รับการดูแลจากแฟนคลับเช่นกัน และแฟนคลับยังคอยเป็นหูเป็นตา ปกป้องศิลปินที่ตนเองรัก ไม่ว่าจะเป็นข่าวหรือสิ่งต่าง ๆ ที่จะทำให้ศิลปินเสียภาพลักษณ์ เมื่อศิลปินถูกวิจารณ์ในแง่ลบ เราจึงสามารถเห็นแฟนคลับรวมตัวกันออกมาปกป้องในสื่อออนไลน์เสมอ ที่สำคัญถ้าพลังของแฟนคลับมีมากพอ ก็สามารถทำให้สื่อใด ๆ ที่เขียนข่าวไม่จริง สามารถยอมเขียนหนังสือขอโทษได้เลยทีเดียว

จะเห็นได้ว่า “แฟนคลับ” มีอิทธิพลในแง่ของความมีชื่อเสียงของศิลปินไม่น้อย ถ้าศิลปินคนใดมีฐานแฟนคลับที่แข็งแรง ย่อมส่งเสริมการงานและอาชีพของศิลปินนั้น ๆ ให้ไปได้ไกล เป็นแรงผลักดันที่มหาศาล แต่ถ้าในแง่ของความรู้สึกแล้ว ก็เรียกได้ว่า ความรักของแฟนคลับนั้นค่อนข้างจะเป็นรักที่น่านับถือเลยทีเดียว การที่พวกเค้าทุ่มเท แรงเงิน แรงกาย และแรงใจ ทำเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย โดยไม่ได้หวังหรือหวังน้อยที่สุดคือรอยยิ้มของศิลปินที่เค้ารัก ได้เสพผลงานจากศิลปินที่ตนเองชื่นชอบ แม้บางคนอาจจะไม่เคยเจอตัวจริงของศิลปินเลยด้วยซ้ำ

เมื่อมาถึงตรงนี้ น่าจะได้รู้จักและมองเห็นความสำคัญของ “แฟนคลับ“ มากขึ้น ได้มองเห็นมุมมองของพวกเค้าแตกต่างจากที่คุณเคยเห็น ไม่ว่าคุณจะเคยได้ยินข่าวในแง่ไม่ดีของกลุ่มคนนี้มากน้อยแค่ไหน แต่ในทุก ๆ สังคมย่อมมีคนที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป และตราบใดที่คนกลุ่มนี้ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ก็นับว่าเป็นกลุ่มคนที่สร้างสีสันให้กับวงการบันเทิง ที่มากไปกว่านั้นพวกเค้ามีคุณค่าและมีความสำคัญต่อ ศิลปิน มากจริง ๆ