Tag Archives: ชีวิต

มาลองเป็นเพื่อนกับ “ความเหงา” กันดีไหม

ถ้าลองค้นหาคำว่า “เหงา” ใน Google เราคงจะพบเรื่องราวเกี่ยวกับความเหงามากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิธีแก้เหงา กิจกรรมทำยามเหงา หาเพื่อนคุยแก้เหงา ขึ้นมาเป็นร้อยเป็นพันหัวข้อ แม้แต่บทเพลงก็ยังมีการพูดถึงความเหงาอยู่มากมาย ดูเหมือนว่า ความเหงาจะเป็นสิ่งที่หลายคนไม่ต้องการเอาซะเลยจริง ๆ ความเหงามันน่ากลัวขนาดนั้นหรือเปล่า มีแต่คนที่ใช้คำเหงาเป็นข้ออ้าง เพื่อที่จะได้รู้สึกผิดน้อยลงเมื่อทำผิด

                เราลองมารู้จักกับความเหงากันดีกว่า ความเหงาเป็นความรู้สึก หน่วง ๆ อึน ๆ ไม่ได้สุขมาก ไม่ได้ทุกข์มาก แต่รู้สึกโดดเดี่ยว ซึ่งความโดดเดี่ยวนี้ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก บางคนมีคนล้อมหน้าล้อมหลังมากมาย แต่ยังรู้สึกเหงา แท้จริงแล้วความเหงาเกิดจาก การรู้สึกขาดความใส่ใจ ขาดที่พึ่ง จะเห็นคนไม่น้อยที่บ่นว่าเหงา แม้จะอยู่ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม หรือบางที ความเหงาเกิดขึ้นเมื่อคิดถึงใครสักคนหนึ่ง ที่เรารู้สึกว่า เราไม่ได้สามารถมีเขาอยู่ข้าง ๆ เราได้ มันเลยเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกเหงาที่สุด

ฟังดู ความเหงาก็ดูไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ แต่ทำไมถึงอยากให้เป็นเพื่อนกับมันละ

                ความเหงา ไม่ได้น่ากลัวหรอก แต่การใช้ความเหงามาเป็นข้ออ้างในการทำความผิดนี่น่ากลัว บางคนมีแฟนอยู่แล้วแต่อยู่ห่างไกลกัน หรือแฟนมีเวลาให้ก็ใช้คำว่าเหงามาเป็นข้ออ้างที่จะมีคนเพิ่มเข้ามา เพื่อเติมเต็มในส่วนที่บอกตัวเองว่าอยู่ไม่ได้แน่ ๆ หรือหลายคนที่ชีวิตไม่เคยโสดเลยเพราะไม่สามารถอยู่แบบคนเดียว ไม่มีแฟน ไม่มีคนไปไหนมาไหนด้วยไม่ได้ เลยเลือกที่จะคบกับใครก็ได้แต่ขอให้ตัวเองไม่ว่างเท่านั้น สุดท้ายมานั่งเสียใจเองว่า คบกับใครก็คบได้ไม่นาน เพราะไม่ได้ศึกษากันดี ๆ และหวั่นไหวง่ายเพราะการกลัวความเหงานั้นเอง

                หากเราลองมามองความเหงาดี ๆ ช่วงที่ความเหงาเข้ามาเป็นช่วงที่เรามีเวลาอยู่กับตัวเองมากที่สุด มีเวลาได้รู้ความคิดของตัวเอง ได้ฟังเสียงของตัวเอง เป็นช่วงเวลาได้ทบทวนตัวเอง บางทีช่วงชีวิตของคนเราอาจจะต้องการช่วงเวลาที่ได้คิด ไตร่ตรอง เพื่อปรับปรุงและพัฒนาตัวเองก็ได้ ลองปล่อยให้ตัวเองได้เหงาดูบ้าง ถ้าหากเราอยู่กับมันได้ ใจของเราก็จะแข็งแรงขึ้น และสามารถตั้งรับกับเรื่องราวต่าง ๆ ได้

                ความเหงา เป็นเพียงโหมดหนึ่งของความรู้สึกคนเราเพียงเท่านั้น วิธีแก้อยู่ที่ใจของเราเอง ไม่มีใครสามารถทำให้เราหายเหงาได้อย่างแท้จริง หากเราไม่แก้ด้วยตัวเราเอง เพราะวันใดก็ตามที่เราหาใครสักคนมาแค่เพื่อแก้เหงา วันนึงถ้าเขาหายไป เราก็ต้องหาคนใหม่ ๆ มาแก้เหงาของเราอีกอยู่ดี จะดีกว่าไหม ถ้าเราอยู่กับมันได้ด้วยตัวเราเอง

                ลองเป็นเพื่อนกับความเหงาดูสิ แล้วจะรู้ว่า “ความเหงา” น่ารักกว่าที่คิดนะ

ความฝันในวัยเด็ก กับความฝันตอนเป็นผู้ใหญ่ ยังเป็นฝันเดียวกันอยู่หรือเปล่า?

“ความฝันเป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นอิสระ ไร้กรอบและขอบเขต” นี่คือคำจำกัดความความฝันในวัยเด็กของหลาย ๆ คน ไม่มีกฎเกณฑ์ หรือข้อบังคับ เราสามารถจะเป็นอะไร หรือฝันอะไรก็ได้ที่เราอยากจะเป็น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลยที่เราอาจจะไม่ได้มีแค่ ความฝันเดียว ความฝันของเราเหมือนทุ่งกว้างใหญ่ที่เราจะสามารถปลูกต้นแห่งความฝันกี่ต้นก็ได้ แต่ว่า ยิ่งเราโตขึ้น ความฝันของเราก็ถูกจำกัดให้แคปลง ด้วยสิ่งแวดล้อม ค่านิยม หรือข้อจำกัดต่าง ๆ มากมาย จนบางคนแทบจะไม่เหลือความฝันเลยด้วยซ้ำ

                ถ้าให้ลองถามความฝันของเด็ก ๆ กับผู้ใหญ่ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ เด็ก ๆ จะสามารถตอบความฝันของพวกเขาได้ทันที ในขณะที่ผู้ใหญ่จะต้องใช้เวลาคิด หรือถามถึงข้อแม้ต่าง ๆ เสียก่อนจึงจะสามารถตอบได้ ผู้ใหญ่หลายคนเลือกที่จะละทิ้งความฝันแล้วหันไปทำในสิ่งที่ข้อจำกัด สิ่งแวดล้อม ค่านิยมต่าง ๆ ผลักดันให้ไป หลายครั้งจึงเห็นผู้คนทำงานได้ไม่นานนัก ก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและท้อใจ เพราะสิ่งที่เลือกไม่ใช่สิ่งที่ฝันหรือสิ่งที่รัก หรือหลายคนที่ทำงานไปวัน ๆ แบบไม่รู้เป้าหมายในชีวิตของตัวเอง ไม่รู้จะไปต่อ หรือต่อยอดยังไง รู้สึกเคว้งคว้าง ไร้จุดหมาย สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เกิดจากที่เราถูกลิดรอนความฝัน จะจากตัวเราเองหรือจากคนอื่น ล้วนแต่เป็นตัวบั่นทอนความภูมิใจในตัวเองทั้งนั้น

                แต่ถ้าหากเรากล้าที่จะยืนหยัด ต่อสู้เพื่อความฝันของตัวเราเอง กล้าที่จะออกนอกกรอบหรือออกจาก safe zone ปัญหาหลักของคนในยุคนี้ คือการที่เราไม่กล้าเสี่ยงที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ หรือสิ่งที่แตกต่าง เพราะกลัว กลัวจะผิดพลาด กลัวขัดต่อแนวทางของสังคม เพราะถ้าหากเรายังเป็นเด็กทำผิดพลาดก็เป็นเรื่องเล็ก และคนยังพร้อมที่จะให้อภัยและมองข้ามเราไปได้ แต่เมื่อเราโตขึ้นทุกความผิดพลาดของเรามักจะมีคนคอยซ้ำเติมอยู่เสมอ และหลายคนมีภาระ หน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบต่าง ๆ จึงอาจจะไม่สามารถเอาคนอื่นมาเสี่ยงด้วยได้

เพราะปัญหาชีวิตและข้อจำกัดของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน หลายคนจึงไม่สามารถเลือกที่จะทำตามความฝันของตัวเองได้ แต่อย่างไรก็ตาม อย่าลืมความฝันของตัวเอง ถึงแม้วันนี้เรายังไม่อาจจะสามารถทำมันได้ เราอาจไม่ต้องหักดิบเพื่อเปลี่ยนไปทำตามใจตัวเองทันที แค่เริ่มทำวันละเล็กละน้อย ให้หัวใจได้พอชุ่มชื่นบ้าง เพราะชีวิตคนเราหากไม่มีสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกรักและภูมิใจในตัวเองเลย ชีวิตจะมีความสุขได้อย่างไร

หากเราไม่ทอดทิ้งความฝันของตัวเอง ความฝันก็จะไม่ทอดทิ้งเราเช่นกัน ใช้ชีวิตด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความฝัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราจะมีแรงฮึดสู้ต่อไป ชีวิตของเราจะรู้สึกมีคุณค่ามีความหมายมากกว่าที่เคย ไม่ว่าความฝันในวัยเด็กของเราคือคืออะไร มันสามารถเป็นจริงได้เสมอ ถ้าเรากล้าพอ

โซเชียลมีเดีย (Social Media) มิตรแท้ หรือ มิตรเทียม

ในขณะที่ยุคสมัยนี้ถูกขับเคลื่อนไปด้วยโลกของไซเบอร์ คนเราก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ มันน่าตกใจทุกครั้งที่เห็นเพื่อนของเราในชีวิตจริงกับโซเชียลแตกต่างกันสิ้นเชิง บางคนชีวิตจริงดูเรียบร้อยไม่กล้าแสดงออก แต่ในโซเชียลกลับกลายเป็นคนละคน กล้าพูด กล้าคิด กล้าทำ เพราะทุกอย่างอยู่แค่ปลายนิ้วมือเท่านั้น

                นับวันโซเชียลมีความหลากหลายมากขึ้นและมีทางเลือกให้กับผู้ใช้งานมากขึ้น หากมองให้ลึกแล้วจุดประสงค์หลักของโซเชียล คือการให้ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้สะดวกสบาย การสร้างสังคมใหม่ ๆ เพื่อให้สามารถติดต่อ สื่อสารกับคนที่เราไม่รู้จักได้ง่ายยิ่งขึ้น เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่วางอยู่บนพื้นที่ส่วนรวม ให้เราได้แสดงความคิดเห็นหรือ ชีวิตประจำวันของเรา ในช่วงแรก ผู้คนก็ยังใช้ตรงตามวัตถุประสงค์อยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป โซเชียลกลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนแสดงความเห็นกันเกินขีดจำกัด จนหลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์ Cyberbullying การใช้ถ้อยคำด่าทอ เสียดสี ใส่ร้ายผู้อื่น หรือการแสดงความเห็นแบบสุดโต่ง ส่งผลในแง่ลบต่อผู้อื่น จนรุนแรงถึงขั้นมีคนทำร้ายตัวเองจากเหตุการณ์นี้ จะเห็นว่าสิ่งเล็ก ๆ ที่เราพิมพ์ลงไปแบบไม่ยั้งคิด พอรวมกันมาก ๆ กลายเป็นสิ่งที่คอยทำร้ายผู้อื่น

                แต่ว่าถ้าพูดถึงประโยชน์ของโซเชียลก็มีอยู่ไม่น้อย นอกจากจะเป็นพื้นที่ให้เราสามารถติดต่อสื่อสารกันอย่างสะดวกสบายแล้ว ปัจจุบันยังเป็นพื้นที่ในการประกอบอาชีพ การโปรโมทสินค้า การสร้างเทรนด์ การนำเสนอแบรนด์ หรือการค้นคว้าหาข้อมูลต่าง ๆ ก็สะดวกรวดเร็วขึ้น เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนของนักเรียนและนักศึกษา ข่าวสารต่าง ๆ ก็รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นก็เป็นข้อดี ถ้าหากข้อมูลของข่าวนั้นเป็นความจริงทั้งหมด เกิดเหตุการณ์เข้าใจผิดบ่อยครั้งเพราะการแพร่กระจายข่าวที่ไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้องให้ดีซะก่อน และผู้คนอยากจะแชร์เรื่องราวให้เร็วที่สุด จนบางทีไปก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวและสร้างความเสียหายให้กับบุคคลอื่น และที่สำคัญการพิมพ์หรือโพสข้อความใดในโลกโซเชียลโดยอารมณ์ ขาดความยับยั้งชั่งใจ สิ่งเหล่านี้มันจะอยู่กับเราไปอีกนาน และอาจจะส่งผลต่อตัวเราเองในอนาคต

                โลกโซเชียลก็เหมือนดาบสองคม หากรู้จักใช้ด้านที่ดี ใช้ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาล เราอาจจะได้เพื่อนใหม่ ความรู้ใหม่ หรืออาชีพใหม่ ๆ จากโลกโซเชียลนี้ และก็เช่นกัน หากเรามือไวใจเร็ว คล้อยไปตามสังคม เป็นคนที่อยากแสดงความเห็นตลอดเวลา และพยายามจะเป็นคนดีด้วยการด่าคนอื่น ถือว่าเป็นการใช้ที่ผิดวัตถุประสงค์ของโซเชียลแล้ว สังคมจะน่าอยู่ไม่ใช่เพียงแค่สร้างสังคมในชีวิตจริงเท่านั้น โลกโซเชียลก็ถือได้ว่าเป็นสังคมที่ 2 ของผู้คนในปัจจุบัน หากเราอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง หรือพื้นที่เหมาะสม ไม่กล่าวร้ายใคร โซเชียลมีเดียก็ถือว่าเป็น “มิตรแท้” ของเราได้ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตาม ที่เราเริ่มว่าร้ายคนอื่น สิ่งเหล่านี้จะตามมาเป็นลูกโซ่ แล้วจะเกิดการว่ากันไปว่ากันมาไม่มีที่สิ้นสุด แล้ววันนั้น มิตรแท้อาจจะกลายเป็นมิตรเทียมของเราไปก็ได้

ในวันที่ “ความสุข” ดูยากจนเกินไป

โลก 2019 คือโลกแห่งการต่อสู้และแข่งขัน คนเราต่อสู้เพื่อโอกาส หน้าที่การงานที่ดี เพื่อหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะนำมาถึงทรัพย์สินเงินทอง และทรัพย์สินเงินทองจะพาพวกเค้าไปสู่ชีวิตที่ดี ชีวิตที่มีความสุข คนส่วนใหญ่จึงหน้าดำคร่ำเครียดกับการทำงาน บางคนก็อุทิศให้งาน ทุ่มเทเวลาเกือบทั้งชีวิต แต่สิ่งที่ได้มากลับว่างเปล่า ทำงานหนักขนาดนี้ มีเงินเยอะขนาดนี้ ทำไมถึงยังไม่มีความสุขแบบที่หวังไว้ซักที

                ความสุขของคุณคืออะไร เมื่อเราถามคำถามนี้ไป คงได้คำตอบที่หลากหลาย หลายคนบอกมีเงินทองมากมาย อยากซื้ออะไรได้ตามใจชอบ เพราะทุกวันนี้แทบไม่มีอะไรที่เงินซื้อไม่ได้ แม้แต่เวลาเงินก็ซื้อได้ บางคนบอก การมีครอบครัวที่ดีมีคู่ชีวิตมีลูกที่น่ารัก คือความสุขในบั้นปลายชีวิต แต่ก็ไม่มีอะไรรับรองได้ว่า แต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว ชีวิตจะตัดจบ Happy Ending เหมือนในละคร เพราะชีวิตจริงยังมีต่อ ยังมีสิ่งที่ต้องฝ่าฟันไปอีก หรือบางคนบอกการได้ทำตามฝัน ได้เที่ยวรอบโลก แต่ก็มีคนที่เที่ยวรอบโลกมากมาย ที่เหมือนค้นหาอะไรบางอย่างจนอิ่มตัว แล้วสุดท้ายกลับพบว่า ความสุขมันยังไม่ถูกเติมจนเต็ม

มันเพราะอะไรกันล่ะ ในเมื่อเราลงทุนทั้งเวลา สุขภาพ เงิน ไปกับหลายอย่างแล้ว แต่เรากลับยังไม่รู้สึกมีความสุข

                เพราะเราทำให้มันยากเกินไปรึเปล่า บางคนบอกถ้ามีเงิน 10 ล้าน คงจะมีความสุขมาก แต่พอทำได้จริง กลับไม่รู้สึก เพราะคุณจะอยากได้ 100 ล้าน 1,000 ล้าน มากขึ้นไป บางคนมีครอบครัวที่ดี ได้แต่งงานมีลูกแล้วแต่ยังไม่มีความสุข เพราะอยากเห็นลูกประสบความสำเร็จ ลูกต้องเก่ง ต้องดีกว่าคนอื่น และบางคนเมื่อพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้แล้ว กลับรู้สึกว่า เขามันเตี้ยไป อยากพิชิตเขาที่มันสูงกว่านี้ ความอยากของเราไม่มีที่สิ้นสุด และเรามักจะตั้งความสุขไว้อยู่สูงเสมอ เราต้องมีสิ่งต่าง ๆ มากกว่าที่เป็นอยู่สิ เราไม่ยอมให้ตัวเองมีความสุขสักที แล้วเมื่อไหร่ล่ะ เมื่อไหร่เราจะมีความสุขอย่างแท้จริง

                ถ้าเราลองลดวงแหวนของความสุขลง มีความสุขกับเรื่องง่าย ๆ อย่าตึงเครียดมากจนเกินไปนัก หลายคนไม่ยอมให้ตัวเองมีความสุข ตั้งข้อแม้ให้ตัวเอง ถ้ายังไปไม่ถึงจุดหมายก็จะไม่ยอมให้ตัวเองมีความสุข ลองชื่นชมตัวเองในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ยิ้มให้กับคนรอบข้างบ้าง ใช้ชีวิตแบบรู้ตัวเอง หยุดการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วมานั่งคร่ำครวญ เราควรมีชีวิตในแบบของตัวเอง และแน่นอนความสุขของแต่คนไม่เหมือนกัน ถ้าวันนี้เราเต็มที่แล้ว มันก็คือดีที่สุดแล้ว และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง รักตัวเองที่ไม่ใช่การเห็นแก่ตัว ความสุขเป็นเรื่องใกล้ตัว เพียงแค่เราจะมองเห็นมันหรือเปล่าเท่านั้นเอง

ถ้าเรามองไปในกระจก เราจะเห็นคน ๆ นึงที่มีคุณค่า

“ความสุข” ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป เพียงแค่เราเปิดใจให้กับมัน