Tag Archives: การทำงาน

ความฝันในวัยเด็ก กับความฝันตอนเป็นผู้ใหญ่ ยังเป็นฝันเดียวกันอยู่หรือเปล่า?

“ความฝันเป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นอิสระ ไร้กรอบและขอบเขต” นี่คือคำจำกัดความความฝันในวัยเด็กของหลาย ๆ คน ไม่มีกฎเกณฑ์ หรือข้อบังคับ เราสามารถจะเป็นอะไร หรือฝันอะไรก็ได้ที่เราอยากจะเป็น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลยที่เราอาจจะไม่ได้มีแค่ ความฝันเดียว ความฝันของเราเหมือนทุ่งกว้างใหญ่ที่เราจะสามารถปลูกต้นแห่งความฝันกี่ต้นก็ได้ แต่ว่า ยิ่งเราโตขึ้น ความฝันของเราก็ถูกจำกัดให้แคปลง ด้วยสิ่งแวดล้อม ค่านิยม หรือข้อจำกัดต่าง ๆ มากมาย จนบางคนแทบจะไม่เหลือความฝันเลยด้วยซ้ำ

                ถ้าให้ลองถามความฝันของเด็ก ๆ กับผู้ใหญ่ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ เด็ก ๆ จะสามารถตอบความฝันของพวกเขาได้ทันที ในขณะที่ผู้ใหญ่จะต้องใช้เวลาคิด หรือถามถึงข้อแม้ต่าง ๆ เสียก่อนจึงจะสามารถตอบได้ ผู้ใหญ่หลายคนเลือกที่จะละทิ้งความฝันแล้วหันไปทำในสิ่งที่ข้อจำกัด สิ่งแวดล้อม ค่านิยมต่าง ๆ ผลักดันให้ไป หลายครั้งจึงเห็นผู้คนทำงานได้ไม่นานนัก ก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและท้อใจ เพราะสิ่งที่เลือกไม่ใช่สิ่งที่ฝันหรือสิ่งที่รัก หรือหลายคนที่ทำงานไปวัน ๆ แบบไม่รู้เป้าหมายในชีวิตของตัวเอง ไม่รู้จะไปต่อ หรือต่อยอดยังไง รู้สึกเคว้งคว้าง ไร้จุดหมาย สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เกิดจากที่เราถูกลิดรอนความฝัน จะจากตัวเราเองหรือจากคนอื่น ล้วนแต่เป็นตัวบั่นทอนความภูมิใจในตัวเองทั้งนั้น

                แต่ถ้าหากเรากล้าที่จะยืนหยัด ต่อสู้เพื่อความฝันของตัวเราเอง กล้าที่จะออกนอกกรอบหรือออกจาก safe zone ปัญหาหลักของคนในยุคนี้ คือการที่เราไม่กล้าเสี่ยงที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ หรือสิ่งที่แตกต่าง เพราะกลัว กลัวจะผิดพลาด กลัวขัดต่อแนวทางของสังคม เพราะถ้าหากเรายังเป็นเด็กทำผิดพลาดก็เป็นเรื่องเล็ก และคนยังพร้อมที่จะให้อภัยและมองข้ามเราไปได้ แต่เมื่อเราโตขึ้นทุกความผิดพลาดของเรามักจะมีคนคอยซ้ำเติมอยู่เสมอ และหลายคนมีภาระ หน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบต่าง ๆ จึงอาจจะไม่สามารถเอาคนอื่นมาเสี่ยงด้วยได้

เพราะปัญหาชีวิตและข้อจำกัดของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน หลายคนจึงไม่สามารถเลือกที่จะทำตามความฝันของตัวเองได้ แต่อย่างไรก็ตาม อย่าลืมความฝันของตัวเอง ถึงแม้วันนี้เรายังไม่อาจจะสามารถทำมันได้ เราอาจไม่ต้องหักดิบเพื่อเปลี่ยนไปทำตามใจตัวเองทันที แค่เริ่มทำวันละเล็กละน้อย ให้หัวใจได้พอชุ่มชื่นบ้าง เพราะชีวิตคนเราหากไม่มีสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกรักและภูมิใจในตัวเองเลย ชีวิตจะมีความสุขได้อย่างไร

หากเราไม่ทอดทิ้งความฝันของตัวเอง ความฝันก็จะไม่ทอดทิ้งเราเช่นกัน ใช้ชีวิตด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความฝัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราจะมีแรงฮึดสู้ต่อไป ชีวิตของเราจะรู้สึกมีคุณค่ามีความหมายมากกว่าที่เคย ไม่ว่าความฝันในวัยเด็กของเราคือคืออะไร มันสามารถเป็นจริงได้เสมอ ถ้าเรากล้าพอ

ถ้า “ทางเดิน” ของชีวิต เป็นเหมือนการเลือก “สายรถเมล์”

ในวันเหงา ๆ เศร้า ๆ รู้สึกหมดหวังกับชีวิต สิ่งที่หลายคนเลือกทำคืออะไร บางคนคงอาจจะไปดูหนัง นั่งชิลร้านกาแฟ หรือไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ แต่สถานการณ์ที่มันค่อนข้างแย่และหนักหน่วง การไปแค่นั้นมันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่ การได้อยู่กับตัวเอง มองดูผู้คน นั่นคือสิ่งที่ทำให้รู้สึกเข้าใจชีวิตและคิดอะไรได้มากกว่า สถานที่ที่เราชอบไปเวลาไม่สบายใจคือ ป้ายรถเมล์

วันที่ถูกเชิญออกจากงาน ความรู้สึกตอนนั้นมันไม่ได้เสียใจ ร้องไห้แม้แต่นิดเดียว แน่ละเรารู้อยู่แล้ว ปัญหามันมีมานานแล้ว ต่อให้ไม่เชิญออกก็ตั้งใจจะลาออกอยู่ดี เพียงแต่คราวนี้มันเร็วเกินคาด เกินกว่าที่เราจะตั้งรับทัน เราทำเหมือนปกติทุกอย่าง ไม่ได้บอกใครในออฟฟิศนอกจากเพื่อนสนิทที่สุดในนั้น ครอบครัวยิ่งแล้วใหญ่เราไม่มีทางบอกเรื่องนี้แน่ ๆ จะบอกได้ยังไงคนที่เป็นความหวังของครอบครัวแบบเราทุกคนคงใจสลายน่าดู

 มีเวลาแค่ 3 เดือน ในการหาที่ทำงานใหม่ มันน่าเศร้ามั้ยล่ะ จากคนที่เคยเป็นคนเลือกงาน ปฏิเสธที่อื่นเพื่อมาทำที่นี่ แต่วันนี้กลับโดนเชิญออก ช่างเป็นสีสันของชีวิตเสียจริง ๆ หัวสมองตอนนั้นมันไม่มีเวลาให้ตัดพ้อมากนักหรอก เพราะมันต้องคิด ต้องทำแฟ้มผลงานเพื่อยื่นไปสมัครงานเป็นสิบ ๆ ที่ บางที่ก็ไปสัมภาษณ์เพื่อให้เค้าดูถูกดูแคลน มีแต่ความเจ็บช้ำเสียใจกลับมา สถานการณ์ในตอนนั้น มันแทบไม่มีกำลังใจในชีวิตซะเลย จะฆ่าตัวตายหรอ? ไม่หรอกมันง่ายเกินไป ชีวิตเราเจอแต่แต่เรื่องยาก ๆ มาทั้งชีวิต เราเชื่อว่ามันผ่านไปได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราจะผ่านมันไปยังไงเท่านั้นเอง

วันเวลาก็ล่วงเลยเข้าเดือนที่ 3 เราตั้งใจทำแฟ้มผลงาน และส่งไปสมัครงานอีกหลายที่และได้งานในที่สุด แต่ว่ารถเมล์มีหลายสายฉันท์ใด ชีวิตคนเราก็มีทางเลือกหลายทางฉันท์นั้น ในบ่ายวันสุดท้ายของเดือน เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น พร้อมกับเสียงปลายสายที่ขอเรียกสัมภาษณ์งาน ตอนนั้นทั้งสับสนและดีใจจนบอกไม่ถูก เราตกลงทันทีทั้ง ๆ ที่เราได้งานแล้ว เราขอไปสัมภาษณ์งานเย็นวันนั้นตอน 1 ทุ่ม

อย่างกับในหนัง ต้องฝ่ารถติด ฝ่าผู้คน เพื่อไปสัมภาษณ์งานในเย็นหลังเลิกงานของการทำงานวันสุดท้ายของออฟฟิศ เราไปทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย มีแค่สภาพหัวฟู ๆ หน้ามันเยิ้มไปเท่านั้น การสัมภาษณ์ผ่านไปด้วยดี จนถึงตอนท้ายเมื่อเราตัดสินใจบอกความจริงว่า จริง ๆ เราได้งานแล้ว ตอนนั้นมันถึงทางเลือกแล้วล่ะ ก่อนหน้านี้เราเคยเจอทางเลือกแบบนี้มาก่อน เราตกลงทำงานกับที่ที่เราถูกเชิญออกแล้ว หลังจากนั้นไม่กี่วัน ที่ที่เราอยากไปก็โทรมา แต่ด้วยอะไรก็แล้วแต่ เราเกรงใจมากเพราะเรารับปากไปแล้ว เราไม่มีความกล้าพอที่จะกลับไปยกเลิก มาคราวนี้ เราลองชั่งใจดูว่าชอบที่ไหนมากกว่ากัน และใจเราก็บอก ว่าเราชอบที่นี่มากกว่า เราเลยขอเลือกตามใจของเราบ้าง ในที่สุดเราก็ตกลงทำงานกับที่ที่สองและโทรไปยกเลิกทำงานกับที่แรก

หลังจากวันนั้น เรากลับมานั่งเฝ้ามองผู้คนที่ป้ายรถเมล์อีกครั้ง ป้ายรถเมล์ ที่เป็นศูนย์รวมของคนหลากหลายอาชีพ หลากหลายวัย เราอาจจะได้เห็นคุณยายขายน้ำที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้ทั้งวันจะไม่มีคนซื้อ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถามทางด้วยความมึนงง หรือคุณลุงคุณป้าที่หอบหิ้วสัมภาระล้นมือเพื่อที่จะไปที่ไหนสักแห่ง ผู้คนเหล่านี้ทำให้เรามองเห็นโลกที่กว้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นใคร ทุกคนต่างมีสิ่งที่ต้องทำ มีปัญหาที่ต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นคนพิการ ขอทาน พวกเขาแย่กว่าเรามากแต่เขาก็ยังอยู่ต่อ ต่อสู้กับปัญหาที่พวกเขามี การได้เห็นภาพเหล่านี้ทำให้เรามีกำลังใจในการที่จะเดินต่อไป เพราะชีวิตมีไว้ใช้ แต่ว่ามันก็มีหลายทางให้เลือกเหมือนกับป้ายรถเมล์ ถ้าเราดีหน่อยที่รู้ว่าปลายทาง จุดหมายของเราคืออะไร การเลือกเส้นทางที่จะเดินหรือสายรถเมล์ที่จะไปมันคงไม่ยาก แต่ถ้าไม่รู้ก็ต้องเสี่ยงหน่อย เราอาจจะขึ้นรถเมล์ผิดสาย แต่มันไม่ใช่ผิดพลาดแล้วแก้ไขไม่ได้ เราสามารถลงเพื่อรอสายต่อไป แล้วคุณล่ะ คุณเลือกสายรถเมล์ของคุณหรือยัง ?